

ในปัจจุบันหลายองค์กรกำลังตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมการดำเนินงานต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในช่วงที่การควบคุมก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนมากขึ้น ซึ่งในปี พ.ศ. 2568 ที่จะถึงนี้ กฎหมาย CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปจะเริ่มบังคับใช้และ มีผลให้สินค้าที่ส่งออกไปยังประเทศในยุโรปจะถูกเก็บ “ภาษีคาร์บอน” หากองค์กรไม่สามารถแสดงหลักฐานการควบคุมคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในกระบวนการผลิตได้
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร จึงถือขั้นตอนที่สำคัญที่ทำให้เราทราบถึงปริมาณของก๊าซเรือนกระจก และสามารถคำนวณการค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว iCube จึงมานำเสนอ 6 ขั้นตอนในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อให้สามารถเตรียมตัวรับมือกับกฎหมายและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
1. การกำหนดขอบเขตขององค์กร (Organizational Boundary Definition)
การกำหนดขอบเขตองค์กรเป็นขั้นตอนแรกในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดข้อขัดแย้งในการคำนวณ โดยต้องระบุพื้นที่ที่องค์กรมีการควบคุมและสร้างผลกระทบทางตรงต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการลงทุนหรือร่วมทุน โดยแบ่งการกำหนดขอบเขตออกเป็น 2 รูปแบบ คือ:
- แบบควบคุม (Control Approach):
การกำหนดขอบเขตแบบควบคุมจะพิจารณาพื้นที่และกิจกรรมที่องค์กรมีอำนาจควบคุมโดยตรง เช่น โรงงานที่เป็นขององค์กรเองหรือโรงงานที่มีสัดส่วนการถือหุ้นตามหลักฐานจากรายงานทางการเงิน การระบุขอบเขตในแบบควบคุมนี้จะทำให้องค์กรมีภาพรวมของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ - แบบปันส่วนตามสิทธิ์ (Equity Share Approach):
การกำหนดขอบเขตนี้จะครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการร่วมทุนหรือลงทุนขององค์กร โดยปันส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามสัดส่วนของหุ้นที่องค์กรถืออยู่ ตัวอย่างเช่น หากองค์กรถือหุ้น 40% ในบริษัทหนึ่ง ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้องบันทึกจะเป็นสัดส่วนที่ 40% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทนั้น
2 . การกำหนดขอบเขตการดำเนินงานใน 3 Scope (Operational Boundaries)
เพื่อให้การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์มีประสิทธิภาพสูงสุด การแบ่งขอบเขตการดำเนินงานตามแนวทางของ Greenhouse Gas Protocol จะแบ่งออกเป็น 3 Scope ได้แก่:
- Scope 1: Direct GHG Emissions & Removals
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ซึ่งหมายถึงกิจกรรมที่เกิดจากแหล่งที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยตรง ตัวอย่างเช่น ควันที่ปล่อยออกมาจากปล่องในโรงงาน หรือก๊าซที่รั่วไหลออกมาจากระบบทำความเย็น การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซใน Scope 1 จะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการปล่อยก๊าซได้ดีขึ้นเพราะเป็นแหล่งที่สามารถปรับปรุงได้โดยตรง - Scope 2: Energy Indirect GHG Emissions
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน เช่น ไฟฟ้าและความร้อน Scope 2 นี้จะครอบคลุมการใช้พลังงานที่องค์กรไม่ได้ผลิตขึ้นเองแต่ต้องซื้อจากแหล่งภายนอก การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 2 สามารถทำได้โดยการเลือกใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดีขึ้น - Scope 3: Other Indirect GHG Emissions
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมที่อยู่นอกการควบคุม เช่น การเดินทางของพนักงาน การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าหรือการใช้วัตถุดิบตั้งต้นในกระบวนการผลิต การปล่อยก๊าซใน Scope 3 เป็นส่วนที่ยากต่อการควบคุมที่สุดแต่ก็สำคัญที่สุด เพราะ Scope 3 สามารถคิดเป็นสัดส่วนที่สูงในหลายองค์กร
3. การเก็บข้อมูลและคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Data Collection & Carbon Footprint Calculation)
การเก็บข้อมูลและการคำนวณเป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้มาตรฐาน ISO 14064-1 เพื่อความแม่นยำ ข้อมูลที่จำเป็นต้องรวบรวมเรียกว่า “Activity Data” เช่น ปริมาณพลังงานที่ใช้ในโรงงาน ข้อมูลการใช้งานวัตถุดิบ รวมถึงข้อมูลการเดินทางของพนักงาน
สูตรการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่นิยมใช้ คือ
CO₂ Emissions = Activity Data × Emission Factor
ตัวอย่าง: บริษัท A ใช้ดีเซลจำนวน 10,000 ลิตรในหนึ่งปีสำหรับการขนส่งสินค้า
- Activity Data (ข้อมูลกิจกรรม): จำนวนดีเซลที่ใช้ คือ 10,000 ลิตร
- Emission Factor (ปัจจัยการปล่อย): สำหรับดีเซล ปัจจัยการปล่อยก๊าซเท่ากับ 2.708 กก. CO2e/ลิตร
ดังนั้น CO2e = 10,000 ลิตร × 2.708 = 27.08 ตัน CO2eq
การเก็บข้อมูลนี้จะช่วยให้องค์กรเข้าใจปริมาณการปล่อยก๊าซได้ชัดเจนและสามารถติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
4. การจัดการคุณภาพของข้อมูลการรายงาน (Quality Management of GHG Inventory)
การจัดการคุณภาพของข้อมูลเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ องค์กรต้องมีทีมงานที่รับผิดชอบในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่แม่นยำ การทบทวนคุณภาพของข้อมูลนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงบัญชีรายการก๊าซเรือนกระจกขององค์กรให้เป็นไปตามมาตรฐาน และช่วยลดโอกาสของข้อผิดพลาดในการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์
5. การรายงานผล (Reporting)
การจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถือเป็นหลักฐานสำคัญในการทบทวนและตรวจสอบข้อมูล องค์กรต้องเตรียมข้อมูลการปล่อยก๊าซในรูปแบบรายงานสำหรับการทวนสอบบัญชี นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนสำหรับการขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งมีบทบาทในการรับรองว่าข้อมูลการปล่อยก๊าซที่รายงานมีความถูกต้องตามแนวทางขององค์กรและสอดคล้องตามหลักเกณฑ์ CBAM
6. การทวนสอบและการขึ้นทะเบียน (Verification & Certification)
หลังจากการรายงานผล การทวนสอบความถูกต้องของการคำนวณและการแสดงปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ องค์กรต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าข้อมูลทั้งหมดที่รายงานมีความแม่นยำ การขอขึ้นทะเบียนกับอบก. จะช่วยให้องค์กรได้รับการรับรองว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการเตรียมตัวสำหรับกฎหมาย CBAM ที่กำลังจะมาถึง
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการเพื่อความสอดคล้องตามกฎหมาย แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่การดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืน การที่องค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ไม่เพียงแค่ได้รับการยอมรับจากตลาดสากล แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยวางรากฐานสู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจสีเขียวอีกด้วย






